ปุ๋ย ยิ่งเข้าใจ ยิ่งใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 เมื่อไรที่พืชไม่เจริญเติบโตอย่างที่ควรจะเป็น การใส่ปุ๋ยคือสิ่งแรกที่หลายคนนึกถึง 


ปุ๋ยจึงเป็นอะไรก็ตามที่เราเติมลงไปในดินแล้วช่วยเพิ่มธาตุอาหารหรือเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบบางอย่าง เพื่อให้พืชที่เพาะปลูกไว้งอกงามขึ้นมาได้ ซึ่งถ้าจะอธิบายให้ชัดเจนก็ต้องอ้างอิงคำจำกัดความตามพระราชบัญญัติปุ๋ยที่ว่า ปุ๋ยคือสารอินทรีย์หรืออนินทรีย์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติก็ได้ สังเคราะห์ขึ้นมาก็ได้ สำหรับเพิ่มธาตุอาหารให้พืชหรือปรับเปลี่ยนองค์ประกอบทางเคมีในดิน และส่งผลให้พืชเจริญเติบโตได้ดี ปุ๋ยเป็นตัวช่วยสำคัญในวงการเกษตรที่ได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง จนปัจจุบันมีประเภทของปุ๋ยค่อนข้างหลากหลาย การทำความเข้าใจคุณสมบัติของปุ๋ยแต่ละประเภทจะช่วยให้เราเลือกใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ประเภทของ ปุ๋ย

ส่วนหนึ่งที่ทำให้หลายคนสับสนเกี่ยวกับประเภทของปุ๋ย ก็คือมีปัจจัยที่ใช้ในการแบ่งประเภทค่อนข้างหลากหลาย อย่างเช่น การแบ่งประเภทตามกระบวนการผลิต แบ่งประเภทตามคุณภาพของวัตถุดิบ แบ่งตามสูตรปุ๋ย เป็นต้น แต่หากยึดตามหลักวิชาการปุ๋ยของกลุ่มวิจัยปุ๋ยและสารปรับปรุงดิน จะแบ่งปุ๋ยออกเป็น 3 ประเภท คือ ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยอนินทรีย์หรือปุ๋ยเคมี และปุ๋ยชีวภาพ ซึ่งการแบ่งประเภทในลักษณะนี้ถือว่าเป็นรูปแบบสากลที่ทำให้ทุกคนเข้าใจตรงกันมากที่สุด

ปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ

1. ปุ๋ยอินทรีย์

ปุ๋ยอินทรีย์ (organic fertilizer) คือปุ๋ยที่มีส่วนผสมเป็นสารอินทรีย์ซึ่งได้จากธรรมชาติทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นซากพืช ซากสัตว์ ตลอดจนผลิตผลอื่นๆ ที่ได้จากสิ่งมีชีวิต หลังผ่านการย่อยสลายก็จะให้ธาตุอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อพืชค่อนข้างครบถ้วน จากงานวิจัยภายใต้หัวข้อ “ปุ๋ยอินทรีย์ฟื้นฟูสภาพดิน” ของคุณบัญชา รัตนีทู ได้กล่าวไว้ว่าปุ๋ยอินทรีย์มีความสำคัญต่อการปรับปรุงคุณสมบัติของดินสูงมาก แม้ในช่วงแรกจะยังไม่ค่อยเห็นผลชัดเจนนัก แต่ในระยะยาวจัดว่ามีศักยภาพแบบยั่งยืน เพราะปุ๋ยจะค่อยๆ ปรับทุกองค์ประกอบในดินให้เหมาะสมกับการเติบโตของพืช ทั้งองค์ประกอบที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต เราสามารถแบ่งประเภทย่อยของปุ๋ยอินทรีย์ได้อีก 3 ประเภท ได้แก่ ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก และปุ๋ยพืชสด

ปุ๋ยคอก หมายถึง ปุ๋ยจากมูลสัตว์ที่มีคุณภาพในแง่ของการให้แร่ธาตุอันเป็นประโยชน์ต่อพืช โดยวัดจากอาหารที่สัตว์เหล่านั้นกินเข้าไปเป็นประจำ เมื่อประเภทของอาหารที่ต้องการและกลไกภายในร่างกายของสัตว์แต่ละชนิดแตกต่างกัน แร่ธาตุที่ได้จากมูลสัตว์จึงแตกต่างกันด้วย เช่น มูลโคจะมีธาตุไนโตรเจนสูงกว่าธาตุชนิดอื่น ขณะที่มูลสุกรจะมีธาตุฟอสฟอรัสสูงกว่า เป็นต้น การใช้ปุ๋ยคอกจะให้ผลดีในระยะยาว ไม่ใช่แค่ช่วยเพิ่มธาตุอาหารที่ดีให้กับดินเท่านั้น แต่ยังปรับสภาพดินเดิมให้ดีขึ้นทั้งด้านกายภาพและชีวภาพ จากดินเหนียวแน่นก็จะร่วนซุยและระบายอากาศได้ดีขึ้น ส่วนข้อเสียก็จะเป็นเรื่องของการสลายตัวอย่างรวดเร็วของธาตุอาหาร เราจึงต้องใส่ใจในการเก็บรักษาและควรรีบนำไปใช้งานในช่วงที่ปุ๋ยยังสดใหม่อยู่

ปุ๋ยคอก

ปุ๋ยหมัก หมายถึง ปุ๋ยที่ต้องผ่านกระบวนการหมักก่อนนำไปใช้งาน ด้วยการนำวัสดุเหลือใช้ที่เป็นสารอินทรีย์มาหมักจนกว่าจุลินทรีย์จะทำงานเสร็จสิ้น แล้วได้เป็นปุ๋ยที่มีความทนทานต่อการย่อยสลายเพิ่มขึ้น ธาตุอาหารในปุ๋ยหมักก็จะแตกต่างกันไปตามแต่วัสดุที่เราเลือกใช้ เช่น ถ้าใช้ฟางข้าวมาหมักก็จะได้ปุ๋ยที่มีโพแทสเซียมสูง ถ้าใช้ซังข้าวโพดมาหมักก็จะได้ปุ๋ยที่มีไนโตรเจนสูง เป็นต้น กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้แนะนำถึงลักษณะของปุ๋ยหมักที่ดีเอาไว้ว่า ต้องมีเนื้อสัมผัสอ่อนนุ่ม เปื่อยยุ่ย และมีสีน้ำตาลปนดำ ข้อดีที่โดดเด่นของปุ๋ยหมักก็คือการปรับสภาพดินให้เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของพืช เนื้อดินจะมีความร่วนซุยและมีความอุดมสมบูรณ์มากขึ้น แบคทีเรียชนิดดีที่อยู่ในดินก็จะเพิ่มปริมาณขึ้นด้วย แต่ข้อเสียคือต้องมีความเข้าใจถึงวิธีการทำและใส่ใจดูแลตลอดระยะเวลาหมัก จึงจะได้ปุ๋ยที่มีคุณภาพตามต้องการ

ปุ๋ยหมัก

ปุ๋ยพืชสด หมายถึง ปุ๋ยที่ได้จากการไถกลบพืชบางชนิดหลังจากเติบโตได้ระยะหนึ่งแล้ว เพื่อให้พืชเหล่านั้นย่อยสลายโดยธรรมชาติและกลายเป็นแร่ธาตุในดิน โดยลักษณะของพืชที่นิยมใช้จะต้องเป็นพืชโตไว ขยายพันธุ์ง่าย และต้องไม่เป็นต้นเหตุในการเกิดโรคพืชอื่นๆ ด้วย ข้อดีของการใช้ปุ๋ยพืชสดคือทำได้ง่ายและชดเชยอินทรียวัตถุที่สูญเสียไประหว่างฤดูกาลเพาะปลูกที่ผ่านมาได้ดีมาก ยิ่งกว่านั้นยังมีส่วนช่วยปรับโครงสร้างเม็ดดินให้ระบายอากาศและอุ้มน้ำได้ดีขึ้นด้วย

2. ปุ๋ยอนินทรีย์หรือปุ๋ยเคมี

ปุ๋ยอนินทรีย์ (inorganic fertilizer) คือปุ๋ยที่มีองค์ประกอบหลักเป็นสารอนินทรีย์ ซึ่งเป็นสารที่ได้จากสิ่งไม่มีชีวิตทั้งหมด หลายคนจะคุ้นเคยกับการเรียกชื่อว่าปุ๋ยเคมีมากกว่า ทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าปุ๋ยชนิดนี้จะต้องมีส่วนผสมที่ผ่านการสังเคราะห์ขึ้นมาเท่านั้น แต่อันที่จริงสารอนินทรีย์มีทั้งแบบสังเคราะห์และแบบที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ตามที่ ดร.อาจ สุวรรณฤทธิ์ ได้ยกตัวอย่างเอาไว้ในเอกสารชื่อความจริงเกี่ยวกับปุ๋ยในการเกษตรและสิ่งแวดล้อมว่า ปุ๋ยโพแทสเซียมที่ได้มาจากการบดหินฟอสเฟตผสมกับแร่ซิลไวท์ก็จัดเป็นปุ๋ยอนินทรีย์เช่นเดียวกัน ลักษณะเด่นของปุ๋ยอนินทรีย์อยู่ที่การกำหนดอัตราส่วนของแร่ธาตุได้ จึงสะดวกต่อการนำไปใช้ในกรณีที่ต้องการเพิ่มธาตุอาหารชนิดใดแบบเฉพาะเจาะจง ประโยชน์ที่ได้จากการใช้ปุ๋ยอนินทรีย์จึงเห็นผลได้อย่างชัดเจนในระยะสั้น เหมาะสำหรับเร่งการเติบโตของต้นพืชในบางช่วงเวลา แต่ถ้าใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานจะทำให้มีสารตกค้างในดิน และอาจทำให้เนื้อดินเปลี่ยนสภาพไปจนไม่เหมาะกับการเพาะปลูกอีก เราสามารถแบ่งประเภทของปุ๋ยอนินทรีย์หรือปุ๋ยเคมีได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้

ปุ๋ยเชิงเดี่ยว หมายถึง ปุ๋ยที่มีธาตุอาหารหลักเพียงชนิดเดียว เรียกอีกอย่างว่า “แม่ปุ๋ย” ใช้สำหรับการเพิ่มธาตุอาหารบางชนิดให้กับพืชในปริมาณมาก หรือใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตปุ๋ยผสม ปุ๋ยเชิงเดี่ยวนี้ยังแบ่งเป็นกลุ่มตามธาตุอาหารได้อีก 3 กลุ่ม คือ ปุ๋ยไนโตรเจน ปุ๋ยโพแทสเซียม และปุ๋ยฟอสฟอรัส

ปุ๋ยยูเรีย

ปุ๋ยเชิงประกอบ หมายถึง ปุ๋ยที่มีธาตุอาหารหลักมากกว่า 2 ชนิดขึ้นไป โดยโครงสร้างในทางเคมีจะต้องมีการยึดเกี่ยวกันด้วยพันธะจนกลายเป็นสารประกอบเคมีที่มีคุณสมบัติเฉพาะตัว ปุ๋ยเชิงประกอบจะเป็นการผสมผสานกันระหว่างธาตุอาหารตัวไหนก็ได้ เช่น ปุ๋ยโมโนแอมโมเนียมฟอสเฟต เป็นการผสมระหว่างไนโตรเจนและฟอสฟอรัส ปุ๋ยโมโนโพแทสเซียมฟอสเฟต เป็นการผสมระหว่างฟอสฟอรัสและโพแทสเซียม เป็นต้น

ปุ๋ยเชิงผสม หมายถึง ปุ๋ยที่ได้จากการผสมปุ๋ยอนินทรีย์หรือปุ๋ยเคมีสูตรต่างๆ เข้าด้วยกัน โดยไม่จำเป็นต้องเกิดพันธะเคมีและไม่จำเป็นต้องกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกันก็ได้ ปุ๋ยเชิงผสมอย่างง่ายก็คือการเอาแม่ปุ๋ยที่ต้องการมาคลุกเคล้ากันก่อนนำไปใช้งาน แต่หากเป็นรูปแบบที่ซับซ้อนขึ้นมาอีก ก็จะต้องมีการวัดอัตราส่วนผสมของแม่ปุ๋ยที่แน่นอน ถ้ามีการปั้นเป็นทรงกลมก็ต้องแน่ใจว่าในแต่ละเม็ดมีสัดส่วนของปุ๋ยที่สม่ำเสมอ

3. ปุ๋ยชีวภาพ

ปุ๋ยชีวภาพ (bio-fertilizer) คือปุ๋ยที่ประกอบไปด้วยจุลินทรีย์มีชีวิต และจุลินทรีย์เหล่านั้นสามารถสร้างธาตุอาหารที่มีประโยชน์ต่อพืชได้ ไม่ว่าจะเป็นประโยชน์ในลักษณะที่มีผลต่อเซลล์พืชโดยตรงหรือมีผลต่อการปรับเปลี่ยนสภาพดินให้อุดมสมบูรณ์ขึ้นก็ตาม ปุ๋ยชีวภาพมีอีกชื่อเรียกหนึ่งว่าปุ๋ยจุลินทรีย์ แต่ไม่ใช่ว่าจะนำจุลินทรีย์ชนิดใดมาผลิตเป็นปุ๋ยก็ได้ ต้องคัดเลือกเฉพาะจุลินทรีย์ที่มีคุณสมบัติตรงตามความต้องการเท่านั้น เราสามารถแบ่งปุ๋ยชีวภาพตามลักษณะการให้ธาตุอาหารได้อีก 2 ประเภท คือ ประเภทที่สร้างธาตุอาหารให้พืช และประเภทที่ทำให้ธาตุอาหารนั้นมีประโยชน์กับพืช

ปุ๋ยชีวภาพที่ประกอบด้วยจุลินทรีย์สร้างธาตุอาหารพืช

จุลินทรีย์ที่ถูกเลือกใช้ในการผลิตปุ๋ยชีวภาพประเภทนี้ จะต้องมีคุณสมบัติในการสร้างธาตุอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อพืชได้ด้วยตัวเอง ตามข้อมูลจากกรมวิชาการเกษตรที่ระบุไว้ในคู่มือปุ๋ยชีวภาพกล่าวว่า ปัจจุบันเราพบจุลินทรีย์ที่น่าสนใจเพียงแค่กลุ่มเดียวเท่านั้น คือกลุ่มจุลินทรีย์ตรึงไนโตรเจน ประกอบด้วยแบคทีเรียและแอคทีโนมัยซีท จุลินทรีย์เหล่านี้จะมีชุดยีนพิเศษที่ตรึงไนโตรเจนจากอากาศได้ และควบคุมการสร้างเอนไซม์ไนโตรจีเนสได้ด้วย การเจาะลึกในส่วนของความสัมพันธ์กับพืชอาศัยจะช่วยให้เราเข้าใจได้มากขึ้น ดังนี้

กลุ่มที่ 1 ปุ๋ยชีวภาพที่ประกอบด้วยแบคทีเรียตรึงไนโตรเจนที่อาศัยอยู่ร่วมกับพืชแบบพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน (symbiotic nitrogen fixation) ปุ๋ยชีวภาพในกลุ่มนี้ถือว่ามีประสิทธิภาพในการตรึงไนโตรเจนสูงมากทีเดียว แบคทีเรียจะเกาะติดอยู่กับต้นพืชด้วยการทำโครงสร้างพิเศษขึ้นมา เพื่อให้สามารถเกาะในตำแหน่งที่เหมาะสมพร้อมกับเริ่มกระบวนการตรึงไนโตรเจนได้อย่างสมบูรณ์ เช่น แบคทีเรียสกุลไรโซเบียมจะสร้างปมบนส่วนต่างๆ ของพืชตระกูลถั่ว แบคทีเรียสกุลแฟรงเคียที่สร้างปมบริเวณรากต้นสน เป็นต้น ข้อดีคือพืชอาศัยสามารถนำไนโตรเจนไปใช้ประโยชน์ได้โดยตรง แต่ปริมาณการตรึงไนโตรเจนอาจเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ตามปัจจัยประกอบหลายอย่าง ทั้งสายพันธุ์ของจุลินทรีย์ สายพันธุ์พืช และความสมบูรณ์ของสภาพแวดล้อม

กลุ่มที่ 2 ปุ๋ยชีวภาพที่ประกอบด้วยแบคทีเรียตรึงไนโตรเจนที่อาศัยอยู่ร่วมกับพืชแบบอิสระ (non- symbiotic nitrogen fixation) กลุ่มนี้จะเป็นจุลินทรีย์ที่ไม่ยึดติดกับพืชอาศัย แต่กระจายตัวอย่างอิสระอยู่ตามบริเวณต่างๆ ซึ่งเราอาจแบ่งตามพื้นที่อาศัยได้เป็น 3 กลุ่มด้วยกัน คือ แบคทีเรียที่อาศัยในดินและบริเวณใกล้ๆ กับรากพืช แบคทีเรียที่อาศัยทั้งในดิน บริเวณใกล้ๆ กับรากพืช และอยู่ในรากพืชชั้นนอกด้วย สุดท้ายคือแบคทีเรียที่อยู่ในลำต้นและส่วนใบของพืช แม้ว่ากลุ่มสุดท้ายจะดูเหมือนเข้าไปอยู่ในพืชอาศัย แต่ก็ไม่ได้เกาะติดที่ส่วนใดส่วนหนึ่ง ยังคงความเป็นอิสระอยู่เช่นเดิม ประสิทธิภาพการตรึงไนโตรเจนของจุลินทรีย์กลุ่มนี้ถือว่าค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับกลุ่มแรก

ปุ๋ยชีวภาพที่ประกอบด้วยจุลินทรีย์ที่ทำให้ธาตุอาหารเป็นประโยชน์กับพืช

สำหรับจุลินทรีย์กลุ่มนี้จะไม่มีคุณสมบัติในการสร้างธาตุอาหาร แต่สามารถเปลี่ยนสภาพสิ่งที่มีอยู่แล้วในดินให้กลายเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อพืชได้ โดยการปล่อยกรดอินทรีย์หรือเอนไซม์บางชนิดเพื่อละลายธาตุอาหารจนอยู่ในลักษณะที่นำไปใช้งานได้ ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ดังนี้

ปุ๋ยชีวภาพแบคทีเรียส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืช ปุ๋ยกลุ่มนี้มีชื่อย่อว่า PGRP อาจประกอบขึ้นจากแบคทีเรียกลุ่มเดียวหรือหลายกลุ่มก็ได้ ทำให้มีประโยชน์ค่อนข้างหลากหลาย ตั้งแต่การละลายฟอสเฟตในติด การผลิตฮอร์โมนบางชนิดที่กระตุ้นการเติบโตของพืช ตลอดจนช่วยเพิ่มศักยภาพในการดูดซึมอาหารให้กับพืช

ปุ๋ยชีวภาพที่ช่วยเพิ่มความเป็นประโยชน์ของธาตุอาหาร บทบาทหลักๆ ของจุลินทรีย์กลุ่มนี้คือการละลายสารประกอบในดินเพื่อให้กลายเป็นธาตุอาหารที่มีประโยชน์ เช่น การสร้างกรดอินทรีย์เพื่อละลายโพแทสเซียมในดินเหนียวของพาร์ซิลลัส การสร้างเส้นใยดูดซึมและช่วยละลายฟอสเฟตในดินของไมคอร์ไรซา เป็นต้น

สูตรปุ๋ย

จากเอกสารคำแนะนำเรื่องการจัดการดินและปุ๋ยอย่างมีประสิทธิภาพของกรมส่งเสริมการเกษตร ได้อธิบายถึงสูตรปุ๋ยไว้ว่า สูตรปุ๋ยคือตัวเลขที่ระบุเอาไว้บนกระสอบปุ๋ย ตัวเลขแต่ละชุดจะบอกถึงสัดส่วนธาตุอาหารหลักที่อยู่ในปุ๋ยนั้น ซึ่งบอกเป็นค่าเปอร์เซ็นต์โดยน้ำหนัก และเรียงตามลำดับดังนี้ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม เช่น สูตรปุ๋ย 16-32-16 หมายความว่า ในปุ๋ยทั้งหมด 100 กิโลกรัม จะมีไนโตรเจน 16 กิโลกรัม ฟอสฟอรัส 32 กิโลกรัม และโพแทสเซียม 16 กิโลกรัม หากน้ำหนักปุ๋ยในกระสอบไม่ถึง 100 กิโลกรัม ก็ให้เทียบสัดส่วนเต็มร้อยก่อนแล้วค่อยลดทอนในภายหลัง น้ำหนักที่เกินมาจากธาตุอาหารหลักจะเป็นสารเสริมอื่นๆ เช่น ดินขาว ยิปซั่ม เป็นต้น

เรโชของปุ๋ย

เรโชของปุ๋ยจะเป็นการบอกถึงสัดส่วนระหว่างธาตุอาหารหลักในปุ๋ยนั้นๆ โดยไม่เกี่ยวกับน้ำหนักของปุ๋ย แต่เทียบแค่ปริมาณของไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียมว่าสัมพันธ์กันอย่างไร อย่างเช่น สูตรปุ๋ย 16-16-16 จะมีเรโชปุ๋ยเป็น 1:1:1 ขณะที่สูตรปุ๋ย 20-10-5 จะมีเรโชปุ๋ยเป็น 4:2:1 เรโชปุ๋ยนั้นมีความสำคัญอย่างมากในการเลือกใช้ปุ๋ย ไม่ว่าสูตรปุ๋ยจะเป็นอย่างไร หากเรโชเหมือนกันก็เท่ากับว่าปุ๋ยเหล่านั้นสามารถใช้ทดแทนกันได้นั่นเอง แต่ต้องดูเรื่องปริมาณการใช้ให้เหมาะสม เพราะค่าความเข้มข้นแตกต่างกัน

การใช้ปุ๋ยอย่างมีประสิทธิภาพ

ไม่ว่าปุ๋ยที่เลือกใช้จะเป็นปุ๋ยประเภทใด ก็ล้วนแต่มีหลักเกณฑ์สำคัญที่ต้องพิจารณาก่อนการใช้เหมือนกัน ดังนี้

เลือกใช้สูตรปุ๋ยให้เหมาะสม ซึ่งต้องผ่านการวิเคราะห์ปัจจัยทั้งหมดให้ครบถ้วนก่อน ตั้งแต่สายพันธุ์พืช ความต้องการของพืช ค่าความสมบูรณ์ของดิน สภาพแวดล้อม ไปจนถึงเป้าหมายของเกษตรกรที่ต้องการใช้ปุ๋ยนั้นด้วย โดยจะใช้เป็นปุ๋ยเคมีที่มีในท้องตลาดอยู่แล้ว หรือใช้เป็นปุ๋ยสั่งตัดที่มีความเฉพาะเจาะจงกับพื้นที่ก็ได้

ใช้ปุ๋ยให้เหมาะสมกับช่วงเวลา เนื่องจากพืชแต่ละชนิดมีจังหวะในการเติบโตต่างกัน ความต้องการธาตุอาหารในระดับสูงจึงอยู่ในช่วงที่ต่างกันด้วย เช่น พืชอายุสั้นจะต้องการธาตุอาหารมากในช่วงกำลังแตกกอหรือสร้างตาดอก ไม้ผลต้องการธาตุอาหารทั้งช่วงสร้างใบ สร้างดอก และติดผล แต่ว่าต้องการชนิดของธาตุอาหารที่ต่างกัน เป็นต้น ถ้าเราใส่ปุ๋ยได้ถูกเวลา พืชก็จะดึงไปใช้ได้อย่างคุ้มค่าและไม่เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์

ใส่ปุ๋ยในจุดที่พืชจะนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าควรเป็นจุดที่ใกล้กับบริเวณราก แต่ต้องระวังไม่ให้ใกล้จนเกินไป ไม่อย่างนั้นอาจเป็นอันตรายต่อระบบรากได้เหมือนกัน

ใส่ปุ๋ยในปริมาณที่เหมาะสม ปุ๋ยที่มากหรือน้อยเกินไปย่อมไม่เป็นผลดีทั้งนั้น นอกจากการดูสูตรปุ๋ยให้เหมาะสมแล้ว ก็ต้องคำนวณปริมาณที่ต้องใช้ด้วยเช่นกัน

สรุปข้อดีและข้อเสียของปุ๋ยแต่ละประเภท

ปุ๋ยอินทรีย์

ปุ๋ยคอก

ข้อดี เพิ่มธาตุอาหารและปรับสภาพดินได้ในระยะยาว ใช้ได้ในทุกช่วงการเติบโตของต้นพืช หาวัตถุดิบได้ง่าย ราคาไม่แพง เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ข้อเสีย ธาตุอาหารสลายตัวค่อนข้างเร็ว

ปุ๋ยหมัก

ข้อดี เพิ่มธาตุอาหารพร้อมปรับองค์ประกอบในดิน ทั้งด้านกายภาพและชีวภาพ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ปุ๋ยประเภทอื่น ใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานได้

ข้อเสีย ต้องมีความเข้าใจการทำปุ๋ยหมักที่ถูกต้อง ใช้เวลาเตรียมการค่อนข้างนาน

ปุ๋ยพืชสด

ข้อดี ให้ไนโตรเจนในปริมาณสูง เพิ่มอินทรียวัตถุในดินที่สูญเสียไป ช่วยปรับสภาพดินให้ร่วนซุยและอุ้มน้ำได้ดีขึ้น

ข้อเสีย ต้องลงทุนลงแรงในการปลูกพืชสำหรับทำปุ๋ย ใช้เวลาเตรียมการพอสมควร

ปุ๋ยอนินทรีย์

ข้อดี รู้ปริมาณธาตุอาหารที่แน่นอน เห็นผลชัดเจนในระยะเวลาอันสั้น เหมาะกับการเร่งผลผลิตในบางจังหวะการเติบโต

ข้อเสีย มีผลเสียต่อสภาพดินในระยะยาว หากเลือกสูตรและปริมาณไม่เหมาะสมจะเป็นอันตรายต่อต้นพืช

ปุ๋ยชีวภาพ

ข้อดี ช่วยปรับคุณสมบัติของดิน ทั้งกายภาพ เคมี และชีวภาพ ให้ผลลัพธ์ในระยะยาว

ข้อเสีย ปริมาณธาตุอาหารต่ำเกินกว่าจะใช้ปุ๋ยเพียงชนิดเดียวในช่วงแรก ต้องใช้เวลานานกว่าจุลินทรีย์จะทำงานได้อย่างเต็มที่ ราคาต่อหน่วยค่อนข้างแพง

แหล่งอ้างอิง

เอกสารวิชาการเรื่อง เรื่องควรรู้เกี่ยวกับปุ๋ยอินทรีย์, นางนรีลักษณ์ ชูวรเวช. กลุ่มงานวิจัยปุ๋ยและสารปรับปรุงดิน.

ความจริงเกี่ยวกับปุ๋ยในการเกษตรและสิ่งแวดล้อม, ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.อำนาจ สุวรรณฤทธิ์.

การจัดการดินและปุ๋ยอย่างมีประสิทธิภาพ, กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์.

ปุ๋ยอินทรีย์, กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์.

คู่มือ ปุ๋ยชีวภาพ, กรมวิชาการเกษตร. 2564.

ปุ๋ยคอก ตัวช่วยสำคัญต่อการเสริมความอุดมสมบูรณ์ในดิน

ปุ๋ยชีวภาพ สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่สร้างประโยชน์ได้มหาศาล

น้ำหมักชีวภาพ ภูมิปัญญาแสนเรียบง่ายที่ทำให้เกิดประโยชน์อย่างกว้างขวาง

ปุ๋ยพืชสด แค่เลือกใช้ให้ถูกก็ตอบโจทย์ทุกด้านการบำรุงดิน

ปุ๋ยยูเรีย สารเสริมศักยภาพสูงที่ปรับใช้ได้หลายรูปแบบ

ปุ๋ยหมัก ธาตุอาหารสำหรับพืชจากวัสดุอินทรีย์เหลือใช้

ปุ๋ยหมักชีวภาพ ปุ๋ยคุณภาพสูงที่ผลิตใช้ได้ง่ายๆ ในเวลาอันสั้น

ปุ๋ยอนินทรีย์ ตัวช่วยที่ทำให้การเพาะปลูกควบคุมได้ง่ายขึ้น

ปุ๋ยอินทรีย์ อาหารหลักสำคัญจากธรรมชาติที่ดีต่อพืชและดิน

ปุ๋ยเคมี ชวนมาทำความรู้จัก และใช้อย่างไรให้พืชแข็งแรง

ปุ๋ยเร่งดอก บำรุงพืชด้วยฟอสฟอรัสเพื่อเสริมการออกดอกและติดผล

ข้อมูลจาก https://kaset.today/

####

iLab.work ผู้ให้บริการ ตรวจวิเคราะห์ค่า ดิน น้ำ ปุ๋ย ในรูปแบบออนไลน์ ที่ใช้บริการง่ายที่สุด เพียงแค่นับ 1 2 3 ภายใต้มาตฐาน ISO/IEC 17025

1. เลือกชุดตรวจแนะนำ หรือเลือกเองตามต้องการที่ www.ilab.work ระบบจะคำนวณค่าใช้จ่าย ในการตรวจวิเคราะห์ให้ท่านทราบขณะเลือกทันที

2. ส่งตัวอย่าง ดิน น้ำ หรือ ปุ๋ย ที่ต้องการตรวจวิเคราะห์ไปที่ iLab [ห้องปฏิบัติการ อัยย์แลป (iLab) เลขที่ 94/1 ม.8 ต.ตระคร้ำเอน อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี 71120] ทาง ไปรษณีย์ หรือ เคอรี่ หรือ แฟรช ตามที่ลูกค้าสะดวก และ ชำระเงินค่าตรวจ

3. รออ่านผลตรวจวิเคราะห์ออนไลน์หน้าเว็บไซต์ (ผลตรวจออกใน 3-15 วัน) 

สอบถามเพิ่มเติม

โทร 090 592 8614

ไลน์ไอดี @FarmKaset มี @ ด้วยนะคะ






 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

แต่ละภาค...ปลูกอะไรดี?

9 อาการต้นไม้ปลูกในบ้านที่ต้องระวัง

12 อาการต้นไม้ขาดธาตุอาหาร พร้อมวิธีดูแลต้นไม้ให้ฟื้นคืนชีพ