มลพิษทางดิน

 มลพิษทางดิน หรือการปนเปื้อนดิน (อังกฤษ: soil pollution) เกิดจากการมีสารเคมีที่มนุษย์สร้างหรือการเปลี่ยนแปลงอื่นในสิ่งแวดล้อมดินธรรมชาติ ตรงแบบเกิดจากกิจกรรมอุตสาหกรรม สารเคมีเกษตรกรรมหรือการกำจัดของเสียอย่างไม่เหมาะสม สารเคมีที่เกี่ยวข้องมากที่สุด คือ ไฮโดรคาร์บอนปิโตรเลียม พอลินิวเคลียร์อะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน (เช่น แนฟทาลีนและเบนโซไพโรซีน) ตัวทำละลาย ยาฆ่าแมลง ตะกั่วและโลหะหนักอื่น การปนเปื้อนสัมพันธ์กับระดับการพัฒนาอุตสาหกรรมและระดับการใช้สารเคมี


สาเหตุ

มลพิษทางดินอาจเกิดจากสาเหตุต่อไปนี้

การนำสารพิษลงดินโดยอุบัติเหตุ

ฝนกรด (ซึ่งเกิดจากมลพิษทางอากาศ)

เกษตรกรรมแบบเข้มข้น

การทำลายป่า

กากนิวเคลียร์

อุบัติเหตุทางอุตสาหกรรม

สถานที่ฝังกลบขยะมูลฝอยและการฝังกลบขยะอย่างมิชอบด้วยกฎหมาย

การกร่อนของดิน

วิธีการทางการเกษตร เช่น การใช้ยาฆ่าแมลง ยาฆ่าวัชพืชและปุ๋ย

การทำเหมืองและอุตสาหกรรมอื่น

การทิ้งน้ำมันเชื้อเพลิง

ขยะที่ถูกฝัง

การทิ้งเถ้าถ่าน

การทิ้งเครื่องกระสุนและยุทธภัณฑ์

การชะน้ำพื้นผิวที่ปนเปื้อนลงดิน

ขยะอิเล็กทรอนิกส์

สารเคมี ซึ่งที่พบบ่อยที่สุด คือ ไฮโดรคาร์บอนปิโตรเลียม ตัวทำละลาย ตะกั่วและโลหะหนักอื่น

แบ่งตามประเทศ

มลพิษในดินที่เห็นได้ชัดเจน ดังนี้

สาธารณรัฐประชาชนจีน

จากการสำรวจดินโดยกระทรวงคุ้มครองสิ่งแวดล้อมของจีน สำรวจพื้นที่สองในสามของจีน ประมาณ 10,000,0000 ตารางไมล์ พบว่า 99.1 % ของดินมีการปนเปื้อนโลหะหนัก20ตัน ซึ่งมีสาเหตุมาจากมลพิษจากอากาศเนื่องจากควันส่งผลต่อดิน นอกจากนี้ยังพบว่า 19.4% ของพื้นที่เพาะปลูกมีการปนเปื้อนในดิน ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการขยายตัวของอุตสาหกรรม ส่งผลให้มีการทิ้งกากอุตสาหกรรมสู่ดิน จึงเกิดการปนเปื้อน

ประเทศอินเดีย

ในปี 2012 มีการตรวจพบโลหะยูเรเนียม เกิน 50 % ในดินของประเทศอินเดีย ที่ภูมิภาคมัลวะ (Malwa) ซึ่งมีค่าเกินจากมาตรฐานขององค์การอนามัยโลกกำหนด ซึ่งสาเหตุมาจากโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนมีการปล่อยยูเรเนียมลงสู่ดิน ทำให้เกิดการปนเปื้อน

ผลกระทบ

ผลต่อระบบนิเวศ

มลพิษทางดินมีผลเสียอย่างสำคัญต่อระบบนิเวศ มีการเปลี่ยนแปลงทางเคมีของดินอย่างถึงรากซึ่งอาจเกิดจากการมีสารเคมีอันตรายหลายชนิดแม้มีสารนั้นในความเข้มข้นต่ำ การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้สามารถแสดงออกเป็นการเปลี่ยนแปลงของเมแทบอลิซึมของจุลินทรีย์และสัตว์ขาปล้องประจำถิ่นในดินนั้น ๆ ส่งผลให้มีการกำจัดห่วงโซ่อาหารปฐมภูมิบางส่วน ซึ่งอาจมีผลลัพธ์ใหญ่หลวงต่อผู้ล่าหรือผู้บริโภคต่อไป ซึ่งผลกระทบภายในระบบนิเวศนั้นจะแบ่งได้เป็น 2 ส่วน จากสิ่งมีชีวิตที่มีการใช้ดินในการดำรงชีวิต ได้แก่

ผลต่อพืชและโครงสร้างของดิน

พืชทุกชนิดต้องอาศัยดินในการเจริญเติบโตทั้งนั้น หากมีการปนเปื้อนในดิน ซึ่งสาเหตุหลักมาจากกิจกรรมทางการเกษตรของมนุษย์ เช่น การใช้ยาปรับศัตรูพืชชนิดแอมโมเนียมซัลเฟต แล้วละลายน้ำจะถูกเปลี่ยนเป็นไนเตรท ( Nitrate ) ส่งผลโดยตรงต่อการดูดซึมแร่ธาตุอาหารของพืชจากดิน จากเดิมพืชใช้รากดูดซึมอาหารจากดิน กลายเป็นรากดูดซึมสารพิษจากดินเข้าไปแทนที่ ทำให้พืชมีการเจริญเติบโตที่ช้าลง เกิดการตกค้างของสารพิษในพืช ส่งผลให้อัตราการสร้างคลอโรฟิลล์ลดลง ใบพืชแห้งเหี่ยว ไม่มีดอกไม่มีผล จำนวนพืชค่อยๆลดลง และตายไป เมื่อพืชตายไปทำให้ดินขาดความสมดุล สามารถเกิดการผุกร่อน และพังทะลายของหน้าดินได้โดยง่าย ทำให้ดินขาดความอุดมสมบูรณ์

ผลต่อสัตว์และแบคทีเรียในดิน

สัตว์หรือสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในดิน เช่น ไส้เดือน มด แบคทีเรียต่างๆ เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่มีผลทำให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์ ดินที่มีการปนเปื้อนจะส่งผลต่อห่วงโซ่อาหารของสัตว์ดังกล่าว ทำให้สัตว์ไม่สามารถใช้ดินในการสร้างอาหารได้ ไม่สามารถย่อยแบคทีเรียได้ ส่งผลต่อกระบวนการเมทาบอลิซึม ทำให้สัตว์และแบคทีเรียค่อยๆตายไป ทำให้ดินขาดความอุดมสมบูณ์ 

การควบคุม

การจะแก้ปัญหาการปนเปื้อนในดินนั้นคงจะทำให้หายไปหมดสนิทในทุกจุดคงเป็นไปแทบจะไม่ได้ ดังนั้นการแก้ไขจึงเป็นการควบคุมให้เกิดการปนเปื้อนของโลหะหนักหรือสารมลพิษให้น้อยที่สุด เพื่อลดปัญหา ซึ่งสามารถทำได้ดังนี้

ปลูกป่าทดแทน การปลูกต้นไม้นั้น เป็นการควบคุมที่สามารถทำได้ง่ายที่สุด ยิ่งหากปลูกต้นไม้ใหญ่เพื้อฟิ้นฟูสภาพดินนั้น ยิ่งสามารถทำได้ เพราะรากของต้นไม้จะช่วยฟื้นฟูและปรับสภาพโครงสร้างของดิน และทำให้พื้นที่บริเวณนั้นมีความอุดมสมบูรณ์เพิ่มขึ้น

ออกกฎหมายควบคุม ทางหน่วยงานของรัฐบาลได้มีการกำหนดกฎเกณฑ์ในการปฏิบัติ เพื่อควบคุมปริมาณสารมลพิษในดินไม่ให้เกินมาตรฐาน

Soil Flushing เป็นวิธีการบำบัดฟื้นฟูดินที่มีการปนเปื้อนด้วยสารอินทรีย์และอนินทรีย์ที่สำคัญ โดยใช้หลักการการชะล้างด้วยสารละลายที่เหมาะสม เช่น น้ำ หรือ Surfactants โดยอาศัยคุณสมบัติในการละลาย (solubility) ของมลสารที่ต้องการกำจัด โดยสารปนเปื้อนที่ถูกชะล้างออกมานี้จะถูกเก็บรวบรวมเพื่อนำไปบำบัดอีกครั้ง

การควบคุมแหล่งกำเนิดโดยตรง เป็นการแก้ไขที่สาเหตุโดยตรง เช่น

การกำหนดพื้นที่ฝังกลบขยะให้ถูกต้อง เป็นหลักแหล่ง

กำหนดสถานที่ในการจัดการกากอุตสาหกรรมอย่างชัดเจน

ออกมาตรการควบคุมกิจกรรมทางการเกษตร เช่น การใช้ยาฆ่าแมลง เพื่อควบคุมปริมาณสารปนเปื้อนลงในดิน

มีการนำดินที่เกิดการปนเปื้อนมาฟื้นฟูเพื่อนำกลับมาใช้อีกครั้ง

มีการตรวจสอบสภาพความอุดมสมบูรณ์ของดินในบริเวณที่เสี่ยงต่อการปนเปื้อนอยู่เสมอ

ข้อมูลจาก https://th.wikipedia.org/wiki

####

iLab.work ผู้ให้บริการ ตรวจวิเคราะห์ค่า ดิน น้ำ ปุ๋ย ในรูปแบบออนไลน์ ที่ใช้บริการง่ายที่สุด เพียงแค่นับ 1 2 3 ภายใต้มาตฐาน ISO/IEC 17025

1. เลือกชุดตรวจแนะนำ หรือเลือกเองตามต้องการที่ www.ilab.work ระบบจะคำนวณค่าใช้จ่าย ในการตรวจวิเคราะห์ให้ท่านทราบขณะเลือกทันที

2. ส่งตัวอย่าง ดิน น้ำ หรือ ปุ๋ย ที่ต้องการตรวจวิเคราะห์ไปที่ iLab [ห้องปฏิบัติการ อัยย์แลป (iLab) เลขที่ 94/1 ม.8 ต.ตระคร้ำเอน อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี 71120] ทาง ไปรษณีย์ หรือ เคอรี่ หรือ แฟรช ตามที่ลูกค้าสะดวก และ ชำระเงินค่าตรวจ

3. รออ่านผลตรวจวิเคราะห์ออนไลน์หน้าเว็บไซต์ (ผลตรวจออกใน 3-15 วัน) 

สอบถามเพิ่มเติม

โทร 090 592 8614

ไลน์ไอดี @FarmKaset มี @ ด้วยนะคะ






ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

มาดูความแตกต่างระหว่างปุ๋ยเคมีกับปุ๋ยอินทรีย์

3 เหตุผลที่คนทำการเกษตรควรใช้บริการตรวจดินมืออาชีพ!

แต่ละภาค...ปลูกอะไรดี?