การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ปุ๋ยเคมี เพื่อลดต้นทุนการผลิต

 ปัจจุบันเกษตรกรมีการใช้ปุ๋ยเคมีในพื้นที่การเกษตรเป็นจ านวนมาก แต่เกษตรกร

ส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจเรื่องปุ๋ยเคมีที่ใช้เพื่อการบ ารุงผลผลิต เกษตรกรจึงนิยมใส่ปุ๋ยเคมีตามเพื่อนบ้าน

ผู้นำชุมชน หรือตามคำโฆษณาของพ่อค้า ทำให้เกษตรกรมีต้นทุนในการใช้ปุ๋ยเคมีค่อนข้างมาก...

พืชทุกชนิดมีความต้องการธาตุอาหารในการเจริญเติบโตที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งธาตุ

อาหารพืช ที่จำเป็น ประกอบด้วย 17 ธาตุ แบบออกเป็น 3 กลุ่ม ยกเว้น คาร์บอน ไฮโดรเจน และ

ออกซิเจน ได้จากการให้น าและอากาศ และธาตุอาหารรอง จุลธาตุส่วนใหญ่มีอยู่ในดินในระดับหนึ่ง

โดยแบ่งเป็น

1. กลุ่มธาตุอาหารหลัก (primary nutrient elements) 3 คือ ธาตุอาหารพืชที่ต้องการในปริมาณ

มาก 3 ธาตุ ได้แก่ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม

2. กลุ่มธาตุอาหารรอง (secondary nutrient elements) คือ ธาตุอาหารที่พืชต้องการในปริมาณ

น้อยกว่ากว่ากลุ่มแรก 3 ธาตุ ได้แก่ แคลเซียม แมกนีเซียม และกำมะถัน

3. กลุ่มจุลธาตุ 8 ธาตุ(micronutrient elements) คือ ธาตุอาหารที่พืชต้องการในปริมาณน้อย โดยที่มี

ความเข้มข้นของธาตุอาหารโดยน้ำหนักแห้ง เมื่อพืชเจริญเติบโตเต็มวัยต่ำกว่า 100 มิลลิกรัม/

กิโลกรัม ได้แก่ เหล็ก แมงกานีส สังกะสี ทองแดง โบรอน โมลิบดีนัม คลอรีน และนิเกิล

หน้าที่หลักของปุ๋ยเคมี

ไนโตรเจน (N) มีหน้าที่ เร่งการเจริญเติบโต ใส่แล้วพืชจะเขียวเข้ม โตเร็ว แต่อ่อนแอ

ฟอสฟอรัส (P) มีหน้าที่ การสร้างแป้ง น้ำตาล ให้ต้นพืช เพื่อสะสมการออกดอก

โพแทสเซี่ยม (K) มีหน้าที่ ช่วยให้ผลผลิต มีน้ำหนักเพิ่มขึ้น สร้างความหวาน เร่งการลงหัวของพืช

ตัวอย่างการใช้ปุ๋ยเคมีให้ตรงความต้องการของพืชตามสูตร

พืชตระกูล ผักกินต้น-ใบ ใช้ปุ๋ยสูตร 25-7-7 หรือ 46-0-0 หรือ 21-0-0 หรือ 30-0-0

หรือ 30-10-10 และ 46-0-0 = 1 ส่วน บวก 15-15-15 = 2 ส่วน ก็ได้พืชงามและแข็งแรง

 พืชตระกูลกินฝัก-ผล ระยะแรกใช้ 25-7-7 หรือ 15-15-15 หรือ 16-16-16 และ 46-0-0

หรือ 30-0-0 หรือ 21-0-0 ระยะต้องการให้ออกดอก ใช้ 15-15-15 หรือ 16-16-16 หรือ

12-24-12 และ 8-24-24 หรือ 9-24-24 ระยะก่อนเก็บผลต้องการให้แก่เร็ว เข้าสี น้ำหนักดี รสหวาน

ใช้ 13-13-21 หรือ 8-24-24 และ 0-0-60

 พืชตระกูลกินหัว ช่วงปลูกระยะแรกใช้ 25-7-7 หรือ 15-15-15 หรือ 16-16-16 หรือ

46-0-0 หรือ 30-0-0 และ 21-0-0 ระยะเริ่มลงหัวใช้ 12-24-12 หรือ 10-30-10 ก่อนเก็บเกี่ยว

ใช้ 0-0-60 หรือ 0-0-50 และ 10-10-30

 ทั งนี ถ้าต้นพืชเหลือง แกรน ให้เพิ่มปุ๋ยตัวหน้า(N) และถ้าต้นพืชงามให้หยุดปุ๋ยตัวหน้า(N)

ใช้สูตรที่มีตัวกลาง(P) และตัวท้าย (K) เช่น 8-24-24

หลักการใช้ปุ๋ยเคมีให้ได้ผลดี

ปุ๋ยเคมี เมื่อใส่ลงไปในดิน จะมีโอกาสสูญเสียไปมากกว่าครึ่งหนึ่ง สำหรับธาตุไนโตรเจน

และโพแทสเซียม ส่วนฟอสฟอรัสนั น พืชดึงดูดไปใช้ประโยชน์ได้เพียงไม่เกินร้อยละ ๑๐ ของปริมาณที่

ใส่ลงไปในดิน ฟอสฟอรัสที่เหลือทั้งหมด จะทำปฏิกิริยากับดิน กลายเป็นสารประกอบที่ละลายน้ำยาก

พืชดึงดูดไปใช้ไม่ได้ ดังนั นการใส่ปุ๋ยลงไปในดิน เพื่อให้พืชสามารถดึงดูดไปใช้ได้มากที่สุดและสูญเสีย

น้อยที่สุด จึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ปุ๋ยชนิดเดียวกัน สูตรเดียวกันใส่ลงไปในดินโดยวิธีแตกต่างกัน

พืชจะใช้ประโยชน์จากปุ๋ยได้ไม่เท่ากัน เช่น ปุ๋ยที่ใส่แบบหว่านจะให้ผลแตกต่างจากปุ๋ยที่ใส่โรยแบบเป็น

แถวหรือเป็นจุดใกล้ต้นพืช ฉะนั้น การใช้ปุ๋ยเคมีให้มีประสิทธิภาพจึงควรมีหลักเกณฑ์ ในการใส่ปุ๋ยที่

ควรจะยึดถือเป็นแนวทางดังนี

 1. ชนิดของปุ๋ยที่ใช้ถูกต้อง สูตรปุ๋ย หรือบางทีเรียกว่า "เกรดปุ๋ย" หมายถึง ตัวเลขเขียน

บอกปริมาณธาตุอาหาร ที่มีอยู่ในปุ๋ยเคมี โดยบอกเป็นค่าของเปอร์เซ็นต์ โดยน้ำหนักของปริมาณ

ไนโตรเจนทั้งหมด (N) ปริมาณฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์ (P2 O5) และปริมาณโพแทสเซียมที่ละลายน า

ได้ (K2O) สูตรปุ๋ยจะเขียนไว้ที่ภาชนะบรรจุปุ๋ย เห็นได้อย่างชัดเจน เช่น 20-10-5 ตัวเลขแรกจะบอก

ปริมาณไนโตรเจนว่ามี อยู่หนัก ๒๐ กิโลกรัม เลขที่สองบอกปริมาณ ฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์มีอยู่

๑๐ กิโลกรัม เลขตัวที่สามบอกปริมาณโพแทสเซียมที่ละลายน าได้ มีอยู่ ๕ กิโลกรัม รวมเป็นธาตุ

อาหารทั้งหมด ๓๕ กิโลกรัม ในปุ๋ยหนัก ๑๐๐ กิโลกรัม และเป็นที่ ทราบกันเป็นสากลว่าเลขตัวแรก คือ

ไนโตรเจน ตัวกลาง คือ ฟอสฟอรัส ตัวสุดท้าย คือ โพแทสเซียม จะไม่มีการสลับที่กัน จึงไม่จำเป็นต้อง

เขียนตัวหนังสือกำกับไว้ สำหรับ "เรโช" ของปุ๋ยนั้น เป็นสัดส่วนเปรียบเทียบกันระหว่างธาตุอาหาร

ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม ในสูตรปุ๋ย เรโชปุ๋ยจะบอกเป็นตัวเลขลงตัวน้อยๆ ระหว่าง

ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส (P2 O5 ) และโพแทสเซียม (K2 O) ของสูตรปุ๋ยนั้นๆ เช่น 16-16-8 เท่ากับเรโช

2:2:1 และ 20-10-5 เท่ากับเรโช 4:2:1

 2. ใช้ปุ๋ยในปริมาณที่เหมาะสม ปริมาณปุ๋ยที่พอเหมาะนี้ หมายถึง จำนวน หรืออัตราปุ๋ย

ที่ใช้ต่อไร่ หรือต่อต้น ที่พืชจะได้รับความพอเหมาะนี มีอยู่ ๒ ลักษณะคือ พอเหมาะในแง่ของปริมาณที่

พืชควรจะได้รับ เพื่อให้ได้ผลิตผลสูงสุด ถ้าน้อยกว่านั้น ก็จะทำให้พืชไม่เจริญเติบโต และให้ผลิตผลสูง

เท่าที่ควร หรือถ้าให้มากเกินกว่านั้นก็อาจเป็นพิษแก่พืชหรือจะไม่ทำให้พืชเติบโต และให้ผลิตผลเพิ่มขึ้น

แต่ทำให้เสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่งก็คือ พอเหมาะในแง่ของหลัก

เศรษฐกิจ กล่าวคือ ปริมาณของปุ๋ยที่ใช้จะต้องพิจารณาเกี่ยวกับราคาของปุ๋ย และราคาของผลิตผลที่

จะขายได้เสียก่อน การใช้ปุ๋ยที่พอเหมาะในแง่นี้ เป็นการใส่ปุ๋ยจำนวนหนึ่ง (ต่อไร่หรือต่อต้น) ซึ่งจะมีผล

ทำให้ผลิตผลสูงขึ้นที่ระดับหนึ่ง (ไม่จำเป็นต้องเป็นผลิตผลสูงสุด) อันจะทำให้ได้กำไรต่อเงินลงทุนในการ

ซื้อปุ๋ยมาใช้มากที่สุด ดังนั้น การพิจารณาความพอเหมาะพอดีของจำนวนปุ๋ย หรืออัตราปุ๋ยที่จะใช้

ประสิทธิภาพมากขึ้น ควรใช้ร่วมกับปุ๋ยอินทรีย์จะดีที่สุด

ข้อดีของปุ๋ยอินทรีย์ 

1. ช่วยปรับปรุงสมบัติทางกายภาพของดินให้ดีขึ้น

2. อยู่ในดินนาน ค่อยๆ ปลดปล่อยธาตุอาหารพืช

3. ส่งเสริมปุ๋ยเคมีให้เป็นประโยชน์ดีขึ้น

4. ส่งเสริมสิ่งมีชีวิตที่เป็นประโยชน์ในดิน

5. มีจุลธาตุ

ข้อเสียของปุ๋ยอินทรีย์ ข้อเสียของปุ๋ยเคมี

1. มีปริมาณธาตุอาหารต่ำ

2. ใช้เวลานานกว่าจะเป็นประโยชน์

3. ราคาแพงต่อหน่วยธาตุอาหารพืช

4. หายากในปริมาณมาก ๆ

1. ปุ๋ยกลุ่มปุ๋ยแอมโมเนียมทำให้ดินเป็นกรด

2. ไม่มีคุณสมบัติปรับปรุงโครงสร้างดิน

3. มีความเค็ม

4. ต้องมีความรู้ในการใช้

ข้อดีของปุ๋ยเคมี

1. มีธาตุอาหารสูงมาก ใช้นิดเดียวก็เพียงพอ

2. ราคาต่อหน่วยธาตุอาหารพืชถูกกว่าปุ๋ยอินทรีย์

3. หาซื้อได้สะดวก

4. ใช้ง่าย

5. ได้ผลเร็ว

ข้อเสียของปุ๋ยเคมี

1. ปุ๋ยกลุ่มปุ๋ยแอมโมเนียมทำให้ดินเป็นกรด

2. ไม่มีคุณสมบัติปรับปรุงโครงสร้างดิน

3. มีความเค็ม

4. ต้องมีความรู้ในการใช้

การผสมปุ๋ยเคมีใช้เอง เพื่อลดต้นทุนการผลิต

 การผสมปุ๋ยเคมีสูตรต่างๆใช้เอง คือการนำแม่ปุ๋ยสูตร 18-46-0 สูตร 46-0-0 หรือ

21-0-0 และสูตร 0-0-60 มาผสมให้เข้ากัน ตามตารางผสมปุ๋ยที่กรมวิชาการเกษตรจัดทำขึ้นและ

สามารถผสมได้ทุกสูตรที่มีขายในท้องตลาดมาใช้ สามารถลดต้นทุนการซื อปุ๋ยเคมีสูตรสำเร็จจาก

ท้องตลาดลงได้ประมาณกระสอบละ 300-400 บาท

อุปกรณ์ที่ใช้เครื่องชั่งขนาด 25 - 50 กิโลกรัม พลั่วหรือจอบ ถังและขันพลาสติค แม่ปุ๋ย

ขั้นตอนการผสมปุ๋ย เลือกสูตรและอัตราการใช้กับพืชจากคำแนะนำคำนวณหาปริมาณและ
ชั่งแม่ปุ๋ยแต่ละชนิดจากตารางการผสมปุ๋ยเคมีสูตรต่างๆใช้เอง น าแม่ปุ๋ยที่ชั่งได้เทลงบนพื้นเรียบและแห้ง
ใช้จอบ หรือพลั่วผสมคลุกเคล้าปุ๋ยในกองให้เข้ากัน นำบรรจุกระสอบเพื่อขนย้ายไปไร่นา การหว่านหรือใส่
ต้องใส่ปริมาณน้อยกว่าเดิมเพราะไม่มีสารตัวเติม และควรใช้ให้หมดภายใน 2 สัปดาห์ เนื่องจากปุ๋ยได้รับ
ความชื้นอาจจะทำให้ปุ๋ยด้วยคุณภาพลงได้ 

เอกสารอ้างอิง

คู่มือปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ทางดิน 2558 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

http://www.thaijaec.com/articles 10 กรกฎาคม 2560. หลักการใช้ปุ๋ยเคมีอย่างถูกต้อง

https://www.moac.go.th/ewt 10 กรกฎาคม 2560. ประโยชน์ของการผสมปุ๋ยใช้เอง

 กรมวิชาการเกษตร

http://saranukromthai.or.th/sub/ 6 สิงหาคม 2560. รู้จักการใช้ปุ๋ยเคมี

http://saranukromthai.or.th/sub/ 6 สิงหาคม 2560. หลักการใช้ปุ๋ยเคมีให้ได้ผลดี

ข้อมูลจาก http://www.sdoae.doae.go.th/document60

####

iLab.work ผู้ให้บริการ ตรวจวิเคราะห์ค่า ดิน น้ำ ปุ๋ย ในรูปแบบออนไลน์ ที่ใช้บริการง่ายที่สุด เพียงแค่นับ 1 2 3 ภายใต้มาตฐาน ISO/IEC 17025

1. เลือกชุดตรวจแนะนำ หรือเลือกเองตามต้องการที่ www.ilab.work ระบบจะคำนวณค่าใช้จ่าย ในการตรวจวิเคราะห์ให้ท่านทราบขณะเลือกทันที

2. ส่งตัวอย่าง ดิน น้ำ หรือ ปุ๋ย ที่ต้องการตรวจวิเคราะห์ไปที่ iLab [ห้องปฏิบัติการ อัยย์แลป (iLab) เลขที่ 94/1 ม.8 ต.ตระคร้ำเอน อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี 71120] ทาง ไปรษณีย์ หรือ เคอรี่ หรือ แฟรช ตามที่ลูกค้าสะดวก และ ชำระเงินค่าตรวจ

3. รออ่านผลตรวจวิเคราะห์ออนไลน์หน้าเว็บไซต์ (ผลตรวจออกใน 3-15 วัน) 

สอบถามเพิ่มเติม

โทร 090 592 8614

ไลน์ไอดี @FarmKaset มี @ ด้วยนะคะ






 


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

แต่ละภาค...ปลูกอะไรดี?

9 อาการต้นไม้ปลูกในบ้านที่ต้องระวัง

12 อาการต้นไม้ขาดธาตุอาหาร พร้อมวิธีดูแลต้นไม้ให้ฟื้นคืนชีพ