การจัดการปัญหาดินทราย

 จัดการดินทราย

ความหมายของดิน

ดินทราย หมายถึง ดินที่มีเนื้อดินบนเป็นดินทรายหรือดินทรายปนร่วนที่เกิดเป็นชั้นหนามากกว่า 100 เซนติเมตรจากผิวดิน บางพื้นที่มีความหนามากกว่า 50 เซนติเมตรจากผิวดินที่รองรับด้วยชั้นดานดินเหนียวดินร่วนหรือพบชั้นดานอินทรีย์ภายในความลึก 100 เซนติเมตรดินทรายพบทั่วไปในทุกภาคของประเทศ

ลักษณะของดิน

ดินทราย มีเนื้อดินเป็นดินทราย หรือดินทรายปนดินร่วน เนื้อดินเหนียวน้อย เป็นดินที่ไม่มีโครงสร้างมีลักษณะเป็นเม็ดเดี่ยวๆ การเกาะตัวหรือยึดตัวของเม็ดดินต่ำทำให้เกิดการชะล้างพังทลายของดินได้ง่าย บางพื้นที่ดินแน่นทึบเนื่องจากเนื้อดินเป็นทรายละเอียดทำให้เป็นอุปสรรคต่อการเจริญเติบโตของพืช มีการระบายน้ำดีเกินไปทำให้เกิดปัญหาการขาดแคลนน้ำ ความสามารถในการอุ้มน้ำและดูดซับธาตุอาหารต่ำ ความอุดมสมบูรณ์ของดินต่ำ การใช้ประโยชน์เพื่อการปลูกพืชจำเป็นต้องมีการจัดการเป็นพิเศษกว่าดินทั่วไป

สภาพปัญหาของดิน

1. การชะล้างพังทลายของดินนับเป็นปัญหารุนแรงในพื้นที่ทำการเกษตรที่มีลักษณะพื้นที่ลุ่มๆดอนๆ การชะล้างพังทลายของดินจะเริ่มเกิดขึ้นรุนแรงในพื้นที่ที่มีความลาดชันตั้งแต่ 5 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไปที่ใช้ปลูกพืชโดยไม่มีมาตรการด้านอนุรักษ์ดินและน้ำที่เหมาะสม และจะรุนแรงมากขึ้นในพื้นที่ลาดชันสูงหรือพื้นที่ภูเขา การชะล้างพังทลายทำให้เกิดการสูญเสียหน้าดินสมบัติทางเคมีและกายภาพของดินเสื่อมลงกลายเป็นพื้นที่เสื่อมโทรมที่ไม่สามารถเพาะปลูกพืชได้ นอกจากนั้นยังส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ เช่น แม่น้ำลำธาร เขื่อน และอ่างเก็บน้ำชลประทานตื้นเขิน

2. ความอุดมสมบูรณ์ของดินทรายต่ำ มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ ปริมาณอินทรียวัตถุ ธาตุโพแทสเซียม และฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์ต่อพืชอยู่ในเกณฑ์ต่ำถึงต่ำมาก ความสามารถในการดูดซับธาตุอาหารและแลกเปลี่ยนธาตุอาหารต่ำมาก เมื่อมีการใส่ปุ๋ยเคมีลงไปทำให้เกิดการสูญเสียไปจากดินได้ง่าย ทำให้การตอบสนองต่อการใช้ปุ๋ยเคมีของพืชน้อย รวมทั้งการปลูกพืชติดต่อกันเป็นเวลานานโดยไม่มีการปรับปรุงดินหรือเพิ่มความอุดมสมบูรณ์แก่ดินเท่าที่ควรทำให้ความอุดมสมบูรณ์ของดินลดลง นอกจากนี้ดินทรายยังมีความสามารถในการอุ้มน้ำต่ำ และเก็บน้ำไว้ไม่อยู่ง่ายต่อการขาดแคลนความชื้นทำให้พืชที่ปลูกมีการเจริญเติบโตไม่ดีและให้ผลผลิตน้อยกว่าดินปกติ

3. สมบัติทางกายภาพของดินไม่ดี ดินที่มีทรายหยาบเป็นส่วนประกอบอยู่มากจะมีช่องว่างในดินขนาดใหญ่เมื่อฝนตกน้ำจะไหลผ่านดินได้อย่างรวดเร็วในขณะที่ดินสามารถดูดซับน้ำไว้

ได้เพียงเล็กน้อยทำให้พืชที่ปลูกขาดแคลนน้ำได้ง่าย ส่วนดินที่มีทรายละเอียดเป็นส่วนประกอบอยู่มากและอยู่ในพื้นที่ลุ่มโดยเฉพาะดินนาจะพบปัญหาดินแน่นทึบจากการเขตกรรมไม่เหมาะสม

ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการชอนไชของรากพืชพืชมีการเจริญเติบโตไม่ดี

การแจกกระจายพื้นที่ดิน

ดินทรายพบทั่วไปในทุกภาคของประเทศ มีเนื้อที่รวมทั้งประเทศ 11,756,733 ไร่ พบมากในภาคต่างๆ ดังนี้

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 8,534,794 ไร่

ภาคกลาง 1,007,927 ไร่

ภาคตะวันออก 996,237 ไร่

ภาคใต้ 958,298 ไร่ และ

ภาคเหนือ 259,477 ไร่

การใช้ประโยชน์พื้นที่ในปัจจุบัน

ดินทรายบริเวณที่ลุ่มใช้ประโยชน์ที่ดินเป็นนาข้าว ส่วนที่ดอนใช้ปลูกพืชไร่ ปาล์มน้ำมัน ทุ่งหญ้า และไม้ละเมาะ ดินทรายบริเวณชายทะเลใช้ปลูกมะพร้าวเป็นพืชหลัก ส่วนดินทรายในที่ดอนที่มีชั้นดานอินทรีย์ มีการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อปลูกมะพร้าวเป็นหลัก แต่มักให้ผลผลิตต่ำ 

แนวทางการจัดการดิน

1. การปรับปรุงดินและเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดินด้วยอินทรียวัตถุ เช่น ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก หรือปลูกพืชตระกูลถั่ว แล้วไถกลบเป็นปุ๋ยพืชสด เพื่อเพิ่มความสามารถในการดูดซับธาตุอาหารพืชและความสามารถในการอุ้มน้ำแก่ดินปรับปรุงสมบัติทางกายภาพของดินทำให้ดินมีการเกาะยึดตัวดีขึ้น

2. การอนุรักษ์ดินและน้ำที่เหมาะสม ปลูกพืชคลุมดินเพื่อป้องกันการชะล้างพังทลายของดิน การใช้วัสดุคลุมดินเพื่อป้องกันการระเหยของน้ำและรักษาความชื้นไว้ในดิน

3. การเลือกชนิดพืชปลูกที่เหมาะสม ปลูกพืชทนแล้งหรือพืชที่ใช้น้ำน้อยมีอายุการเก็บเกี่ยวสั้น เช่น ถั่วเขียว ข้าวโพดหวาน ข้าวโพดฝักอ่อน หรือการปลูกพืชแบบหมุนเวียนไร่นาสวนผสม

4. การจัดการน้ำที่เหมาะสมเพื่อให้การใช้น้ำเป็นไปอย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพ เช่น การให้น้ำแบบหยด เป็นต้น หรือขุดสระเพื่อเก็บน้ำไว้ใช้ในช่วงที่พืชขาดน้ำ

5. การใช้ปุ๋ยเคมีในดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำมากและมีปริมาณธาตุอาหารพืชไม่เพียงพอ ควรใช้ปุ๋ยเคมีร่วมด้วยตามความเหมาะสมกับชนิดพืชที่ปลูกโดยใช้ปุ๋ยเคมีที่ละลายช้าแบ่งใส่ครั้งละน้อยๆ เป็นระยะใส่ในขณะที่ดินมีความชื้นเหมาะสมและควรใช้ร่วมกับปุ๋ยอินทรีย์หรือใช้ปุ๋ยเคมีตามค่าวิเคราะห์ดิน

สรุปและข้อเสนอแนะ

การจัดการดินทรายเพื่อปลูกข้าว ดินทรายในพื้นที่ลุ่ม ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการระบายน้ำค่อนข้างเลว มีน้ำท่วมขังในช่วงฤดูฝน สามารถปลูกข้าวได้โดยมีการปรับปรุงและเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดินด้วยปุ๋ยอินทรีย์ชนิดต่างๆ เช่น ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก การไถกลบพืชปุ๋ยสด ไถกลบตอซังฟางข้าว วัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรอื่นๆ เพื่อเพิ่มความสามารถในการอุ้มน้ำ การดูดซับธาตุอาหาร และทำให้ดินมีการเกาะยึดตัวกันดีขึ้น รวมทั้งการใช้น้ำหมักชีวภาพและปุ๋ยเคมีร่วมด้วย โดยเลือกใช้สูตรและอัตราที่เหมาะสมกับชนิดของข้าวที่ปลูกหรือใช้ปุ๋ยเคมีตามค่าวิเคราะห์ดิน

การใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ใช้อัตรา 4-6 ตันต่อไร่ ใส่แบบหว่านทั่วแปลงแล้วไถกลบ ช่วงเตรียมดินสำหรับปุ๋ยคอกใช้อัตรา 1.5-3 ตันต่อไร่ ใส่แบบหว่านทั่วแปลงเช่นเดียวกับปุ๋ยหมัก ในดินที่มีลักษณะเป็นทรายจัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นอกจากการใช้ปุ๋ยอินทรีย์แล้วจำเป็นต้องใช้ปุ๋ยเคมี ร่วมด้วย โดยใช้ร่วมกับปุ๋ยเคมีสูตร 16-16-8 อัตรา 15-30 กิโลกรัมต่อไร่ หรือใช้ปุ๋ยเคมีตามค่าวิเคราะห์ดิน

การใช้ปุ๋ยพืชสด พืชตระกูลถั่วที่เหมาะสมปลูกเป็นปุ๋ยพืชสดในนาดินทราย ได้แก่ ถั่วพร้า ปอเทือง ถั่วพุ่ม และโสนอัฟริกัน โดยหว่านหรือหยอดเมล็ดพันธุ์ลงในแปลงนาให้ทั่วแปลง อัตราเมล็ดพันธุ์ที่แนะนำคือ ถั่วพร้า 10 กิโลกรัมต่อไร่ ปอเทืองและโสนอัฟริกัน 5 กิโลกรัมต่อไร่ สำหรับถั่วพุ่มใช้เมล็ดพันธุ์อัตรา 8 กิโลกรัมต่อไร่ ไถกลบลงดินในระยะพืชกำลังออกดอกทิ้งไว้ให้ย่อยสลายประมาณ 15 วัน แล้วปลูกข้าวตาม นอกจากนี้การไถกลบตอซังก็เป็นการเพิ่มอินทรียวัตถุให้กับดินทำให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์เพิ่มมากขึ้น และมีผลต่อการเจริญเติบโตและให้ผลผลิตของข้าวเพิ่มขึ้นเช่นกัน

การจัดการดินทรายเพื่อปลูกพืชผัก พืชไร่ ไม้ผล และไม้ยืนต้นบางชนิด ดินทรายในพื้นที่ดอนที่มีการระบายน้ำดีหรือดีปานกลาง ไม่มีน้ำแช่ขังในฤดูฝนสามารถปลูกพืชได้หลายชนิด เช่น ข้าวไร่ ปอแก้ว ถั่วลิสง มันสำปะหลัง สับปะรด ข้าวโพด แตงโม ไม้ผล และไม้ยืนต้นบางชนิด เช่น มะม่วงมะขาม น้อยหน่า พุทรา นุ่น สะเดา ไผ่ ยูคาลิปตัส กระถินณรงค์ และกระถินเทพา รวมทั้งใช้ปลูกพืชผักบางชนิด เช่น แตงกวา ผักกาดเขียวปลี ผักกาดหอม และพริกขี้หนูเป็นต้น เลือกชนิดพืชปลูกที่เหมาะสมทำการปรับปรุงดินและเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดินด้วยอินทรียวัตถุ เช่น ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก หรือปลูกพืชตระกูลถั่วแล้วไถกลบเป็นปุ๋ยพืชสดเพื่อเพิ่มความสามารถในการอุ้มน้ำของดิน ร่วมกับใช้น้ำหมักชีวภาพ หรือใช้ปุ๋ยเคมีในอัตราที่เหมาะสมตามคำแนะนำของชนิดพืชที่ปลูกและควรใช้ปุ๋ยเคมีร่วมกับปุ๋ยอินทรีย์หรือใช้ปุ๋ยเคมีตามค่าวิเคราะห์ดิน

การปลูกพืชผักและพืชไร่ ควรปรับปรุงดินด้วยอินทรียวัตถุ ได้แก่ ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก อัตรา 2-4 ตันต่อไร่ หรือปลูกพืชตระกูลถั่วแล้วไถกลบเป็นปุ๋ยพืชสด ร่วมกับการใช้ปุ๋ยเคมีสูตรและอัตราที่เหมาะสมสำหรับพืชผักแต่ละชนิด หรือใช้ปุ๋ยเคมีตามค่าวิเคราะห์ดิน การใช้วัสดุคลุมดินเพื่อป้องกันการระเหยของน้ำและเก็บรักษาความชื้นไว้ในดินสำหรับพืชไร่ เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง การใช้ปุ๋ยพืชสด เกษตรกรอาจหว่านเมล็ดพืชตระกูลถั่วแล้วไถกลบก่อนปลูกพืชหลักหรือปลูกแซมระหว่างแถว แล้วสับกลบ โดยปลูกหลังจากพืชหลักเจริญเติบโตแล้วเพื่อป้องกันการแย่งน้ำและธาตุอาหาร

การปลูกไม้ผลและไม้ยืนต้น ขุดหลุมปลูกให้กว้างกว่าปกติ ใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกรองก้นหลุม อัตรา 25-30 กิโลกรัมต่อต้น ปลูกพืชคลุมดินหรือใช้วัสดุคลุมโคนต้น เพื่อป้องกันการระเหยของน้ำ และรักษาความชื้นไว้ในดินและมีการจัดการน้ำที่เหมาะสม เช่น การฝังกระบอกดินเผา หรือตุ่มดินบริเวณโคนต้น หรือการให้น้ำแบบหยด เป็นต้น

ข้อมูลจาก https://www.ldd.go.th/Web_Soil/sandy.htm

####

iLab.work ผู้ให้บริการ ตรวจวิเคราะห์ค่า ดิน น้ำ ปุ๋ย ในรูปแบบออนไลน์ ที่ใช้บริการง่ายที่สุด เพียงแค่นับ 1 2 3 ภายใต้มาตฐาน ISO/IEC 17025

1. เลือกชุดตรวจแนะนำ หรือเลือกเองตามต้องการที่ www.ilab.work ระบบจะคำนวณค่าใช้จ่าย ในการตรวจวิเคราะห์ให้ท่านทราบขณะเลือกทันที

2. ส่งตัวอย่าง ดิน น้ำ หรือ ปุ๋ย ที่ต้องการตรวจวิเคราะห์ไปที่ iLab [ห้องปฏิบัติการ อัยย์แลป (iLab) เลขที่ 94/1 ม.8 ต.ตระคร้ำเอน อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี 71120] ทาง ไปรษณีย์ หรือ เคอรี่ หรือ แฟรช ตามที่ลูกค้าสะดวก และ ชำระเงินค่าตรวจ

3. รออ่านผลตรวจวิเคราะห์ออนไลน์หน้าเว็บไซต์ (ผลตรวจออกใน 3-15 วัน) 

สอบถามเพิ่มเติม

โทร 090 592 8614

ไลน์ไอดี @FarmKaset มี @ ด้วยนะคะ






 



ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

แต่ละภาค...ปลูกอะไรดี?

9 อาการต้นไม้ปลูกในบ้านที่ต้องระวัง

12 อาการต้นไม้ขาดธาตุอาหาร พร้อมวิธีดูแลต้นไม้ให้ฟื้นคืนชีพ